Powered By Blogger

วันอังคารที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2554

มดตัวน้อยตัวนิด...



มด...


แม้มีขนาดตัวที่เล็กนิดเดียว
แต่มันก็ไม่เคยที่จะย่อถ้อต่ออุปสรรค์ที่พบเจอข้างหน้า
มดมันไม่เคยเดินถอยหลัง ต่อให้มีสิ่งกีดขวางมากั้น
มดก็จะเดินอ้อมไปหรือปีนข้ามไป



แล้วถ้าเทียบกับคนเรามีทั้งสติปัญญา
มีทั้งร่างกายที่เหนือกว่ามดมากมาย
แต่ทำไมพอเจอปัญหาหรืออุปสรรค์ขวางหน้ากลับท้อ...



ลองหันไปมองดูมด...
เคยเห็นมดเดินถอยหลังมั๊ย...
เคยเห็นมดมันย่อท้อต่ออุปสรรค์หรือเปล่า...



มดไม่เคยเดินถอยหลัง
มดไม่เคยกลัวกับอุปสรรค์ที่พบเจอ



เมื่อไรที่รู้สึกท้อ ให้คิดว่า "เราคือมด"
อาจทำให้เรามีกำลังใจที่จะต่อสู้ ยืนหยัดอยู่กับงาน
และปัญหาที่พบเจอในชีวิตได้อย่างสง่างาม...

ยิ่งสูง...ยิ่งสวย...

จั่วหัวไว้ว่า "ยิ่งสูง....ยิ่งสวย" ...ไม่ได้หมายถึง "นางงาม" หรอกนะ
แต่หมายถึง "ผลที่ได้จากการทำงาน"...!!!

ยิ่งสูง...ยิ่งสวย

ช่วงที่ผ่านมาหลาย ๆ คนรอบข้างบ่นเบื่อหน่ายกับงาน อากาศก็ยิ่งร้อน ๆ คนก็ยิ่งหงุดหงิดพาลไปซะหมด เราโชคดีที่มีกิจกรรมดี ๆ ให้ผ่อนคลาย...คนที่จริงจังกับชีวิตก็จะมองว่า "ไร้สาระ" แต่เราว่าชีวิตคนเรา "สาระ" มากไปก็เครียด...จริงมั๊ย???

เคยอ่านเจอในหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับการเปลี่ยนมุมมองต่าง ๆ ในชีวิต... อ่านแล้วรู้สึกดี...ผู้เขียนกล่าวถึงคนที่บ่นเบื่อหน่ายกับงาน เซ็งกับงานที่ทำอยู่ นั่นไม่ได้หมายความว่า....งานนั้นไม่ดี แต่หมายถึงคน ๆ นั้น "หมดรัก" ในงานนั้นแล้ว จึงเป็นเหตุให้รู้สึกเบื่อ ท้อ หมดกำลังใจที่จะทำงาน

ลองเปลี่ยนมุมมองใหม่....ให้มองปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ เป็นเหมือนเกม เวลาเราเล่นเกม เราอยากเอาชนะให้ได้ ถ้าเราชนะในเกมก็รู้สึกสนุก ถ้าเรามองปัญหาอุปสรรคในการทำงานเป็นเกม เราก็จะรู้สึกสนุกกับการทำงาน เราอยากจะชนะก็ต้องพยายามหาหนทางที่จะแก้ปัญหาอุปสรรคให้ได้ คิด ๆ ดูแล้วก็เป็นความท้าทายอย่างหนึ่งเลยล่ะ

บางคนเปรียบการทำงานเหมือนการปีนขึ้นภูเขาสูง การจะขึ้นไปให้ถึงยอดเขาได้ต้องผ่านปัญหาอุปสรรคมากมาย มีไม่กี่คนหรอกที่จะปีนไปถึงยอดเขานั้นได้ คนส่วนใหญ่เลยเลือกที่จะอยู่แต่บนพื้นราบ เพราะไม่อยากเหนื่อยไม่อยากเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ แต่หารู้ไม่ว่าที่พื้นราบนั้นก็มีปํญหาเหมือนกัน

การปีนขึ้นสู่ที่สูงปัญหาอุปสรรคคือ...ความเหนื่อยยากลำบากทั้งกายและใจ การอยู่บนพื้นราบซึ่งเป็นที่ของคนหมู่มากนั้นปัญหาคือ...การแก่งแย่งเพื่อความอยู่รอด

เมื่อไรที่ท้อจากการทำงานก็ให้ปรับเปลี่ยนมุมมองใหม่ จากที่เคยคิดว่า...."ยิ่งสูง...ยิ่งหนาว" ก็ให้คิดใหม่เป็น..."ยิ่งสูง...ยิ่งสวย" ยิ่งเราปีนขึ้นสูงเท่าไร สิ่งที่รออยู่ข้างหน้าคือ "ความสวยงาม ความอุดมสมบูรณ์" ยิ่งสูงอากาศยิ่งดี...วิวก็สวย...เปรี่ยบเหมือนสิ่งดี ๆ ซึ่งรอเป็น "รางวัลชีวิต" สำหรับเรา ขึ้นอยู่กับตัวเราเองล่ะว่า...จะเลือกอยู่บนพื้นราบ หรือจะปีนขึ้นสู่ที่สูง....

เมื่อไรที่รู้สึกท้อกับการทำงาน ให้บอกกับตัวเองว่า...."ยิ่งสูง...ยิ่งสวย..."

เกี่ยวกับแผนกคอมฯ

...


คอมพิวเตอร์ธุรกิจเรียนอะไร...?

สาขายวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ เรียนเกี่ยวกับหลักการและเทคนิคในการนำคอมพิวเตอร์ไปใช้ในงานธุรกิจด้านต่างๆ เช่น การวิเคราะห์และการออกแบบระบบ การใช้โปรแกรมสำเร็จรูปในงานสำนักงาน การเขียนโปรแกรมภาษาต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้ในงานธุรกิจแต่ละประเภทอย่างเหมาะสม การใช้ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต เพื่อให้การดำเนินงานทางธุรกิจเป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็ว ถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ยังได้ศึกษาถึงแนวทางการนำเอาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ต่างๆ มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินธุรกิจ เพื่อก่อให้เกิดความได้เปรียบและประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจ ดังนั้นนักศึกษาจะได้ศึกษาในความรู้แขนงต่าง ๆ ของคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่แนวคิดพื้นฐาน ความรู้เกี่ยวกับฮาร์ดแวร์ การใช้ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปต่าง ๆ การเขียนโปรแกรม การวิเคราะห์ระบบ การออกแบบฐานข้อมูล เทคโนโลยีการสื่อสารและสารสนเทศ ตลอดจนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต การนำคอมพิวเตอร์ไปใช้ในเชิงธุกิจ เช่น การทำเว็บ E-Commerce





เทคโนโลยีสารสนเทศเรียนอะไร...?

สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ จะศึกษาเกี่ยวกับการนำคอมพิวเตอร์ไปจัดการกับข้อมูลข่าวสาร ทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ จะเน้นการเขียนโปรแกรมภาษาต่าง ๆ เช่น VB,JAVA,ASP,database SQL หลักการทำงานของคอมพิวเตอร์และรวมไปถึงการศึกษาในเชิงปฏิบัติเพื่อนำคอมพิวเตอร์ไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ


เรียนจบแล้วทำอะไรได้บ้าง...?

ผู้สำเร็จการศึกษาสามารถประกอบอาชีพเป็นโปแกรมเมอร์ นักธุรกิจ ผู้ดูแลระบบ นักวิเคราะห์และออกแบบระบบ ผู้พัฒนาโปรแกรมระบบงาน เจ้าหน้าที่หน่วยงานด้านสารสนเทศ ผู้บริหารจัดการฐานข้อมูล เว็บมาสเตอร์ ที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและหน้าที่อื่น ๆ ที่ใกล้เคียง ตลอดจนเป็นผู้ที่มีศักยภาพพร้อมที่จะพัฒนาตนให้เป็นผู้บริหารหน่วยงานสารสนเทศในธุรกิจเอกชน รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานราชการ

นอกจากนี้ยังสามารถศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาของรัฐบาลและเอกชนได้ ซึ่งมีหลักสูตรปริญญาตรี 4 ปี (สำหรับผู้จบ ปวช.) และหลักสูตรปริญญาตรีต่อเนื่อง 2 ปี (สำหรับผู้จบ ปวส.)


วิสัยทัศน์ (Vision)

แผนกคอมพิวเตอร์ธุรกิจ มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณธรรมจริยธรรม มีความรู้ความสามารถและมีทักษะปฏิบัติด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน การประกอบอาชีพ พัฒนาชุมชน และอยู่ร่วมในสังคมได้อย่างมีความสุข

พันธกิจ ( Mission )

  • ผลิตนักเรียน นักศึกษา ที่มีทักษะด้านคอมพิวเตอร์ ตรงตามความต้องการของสังคม มีบุคลิกภาพที่ดี มีคุณธรรมจริยธรรมและเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม

  • ส่งเสริมและพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ

  • นำเทคโนโลยีสารสนเทศและเครื่องมือที่ทันสมัยมาใช้ในกระบวนการเรียนการสอน

  • ให้บริการวิชาการแก่สังคม ชุมชน โดยใช้องค์ความรู้จากการเรียนการสอน และศักยภาพอื่นๆ ของแผนกคอมพิวเตอร์ธุรกิจ เพื่อเผยแพร่ภาพลักษณ์ของแผนกและวิทยาลัย

  • จัดสรรทรัพยากรให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่า





เป้าหมาย ( Goal)

  • ผู้สำเร็จการศึกษามีความรู้และทักษะทางคอมพิวเตอร์ตามมาตรฐานการอาชีวศึกษา สามารถประกอบอาชีพและใช้เทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีคุณธรรมจริยธรรม

  • พัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ ความชำนาญ ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ

  • พัฒนากระบวนการเรียนการสอน โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและเครื่องมือที่ทันสมัยอย่างเพียงพอ

  • นักเรียน นักศึกษา สามารถนำความรู้ไปพัฒนาชุมชนได้

  • บริหารจัดการทรัพยากรให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่า


คุณครูใจดีทุกคน...



ยุทธศาสตร์ (Strategy)

เป้าหมายที่ 1 ผู้สำเร็จการศึกษามีคุณภาพทางคอมพิวเตอร์ตามมาตรฐานการอาชีวศึกษา สามรถประกอบอาชีพและใช้เทคโนโลยีมีคุณธรรม จริยธรรม

  • นักเรียน นักศึกษาที่สำเร็จการศึกษา ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ตามมาตรฐานการอาชีวศึกษา

  • จัดแผนการเรียนให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน

  • พัฒนาวิธีการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนเป็นคนดี คนเก่ง อยู่ในสังคมอย่างมีความสุข

  • ติดตามนักเรียน นักศึกษาที่สำเร็จการศึกษา

  • ผู้เรียนเมื่อสำเร็จการศึกษา สามารถทำงานในหน่วยงานภาครัฐ เอกชน หรือประกอบอาชีพอิสระ





เป้าหมายที่ 2 พัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ ความชำนาญ ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ

  • ส่งเสริมและสนับสนุนให้บุคลากรได้รับการอบรมสัมมนาด้านวิชาการและด้านวิชาชีพ

  • ส่งเสริมให้บุคลาการในองค์กรมีการเพิ่มวิทยฐานะ

  • ส่งเสริมให้บุคลากรจัดทำผลงานทางวิชาการหรืองานวิจัย

  • ส่งเสริมให้มีการสร้างจิตสำนึกที่ดี ให้มีคุณธรรม จริยธรรม


เป้าหมายที่ 3 พัฒนากระบวนการเรียนการสอน โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและเครื่องมือที่ทันสมัยอย่างเพียงพอ

  • ส่งเสริมและสนับสนุนให้บุคลากรได้รับการอบรมสัมมนาด้านวิชาการและด้านวิชาชีพ

  • ส่งเสริมให้บุคลากรในองค์กรมีการเพิ่มวิทยฐานะ

  • ส่งเสริมให้บุคคลจัดทำผลงานทางวิชาการหรืองานวิจัย

  • ส่งเสริมให้มีการสร้างจิตสำนึกที่ดี ให้มีคุณธรรม จริยธรรม


เป้าหมายที่ 4 นักเรียน นักศึกษา สามารถเผยแพร่ความรู้และนำความรู้ไปพัฒนาชุมชนได้

  • ส่งเสริมให้นักเรียนนักศึกษามีส่วนร่วมในการทำกิจกรรม ทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษา

  • ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้นำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน

  • ผู้เรียนสามารถให้ความช่วยเหลือกับผู้อื่นในชุมชน หรือบุคคลที่ต้องการความช่วยเหลือได้


เป้าหมายที่ 5 บริหารจัดการทรัพยากรให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่า

  • จัดให้มีการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่า

  • ส่งเสริมสนับสนุนให้บุคลากรมีส่วนร่วมในการทำงานเป็นหมู่คณะ

เรื่องเล่าวันไหว้ครู

เดือนมิถุนายนวนเวียนมาถึงอีกครั้ง บรรดานักเรียนทั้งหลายคงจำกันได้ดีว่า วันพฤหัสบดีแรกของเดือนมิถุนายน จะเป็นวันไหว้ครู ซึ่งตามสถานศึกษาต่าง ๆ ก็จะมีพิธีการระลึกถึงพระคุณครูบาอาจารย์ การไหว้ครูแบบดั้งเดิมในสมัยโบราณจะแตกต่างจากปัจจุบันหรือไม่ เรามารู้จักกับความหมายของ วันไหว้ครู รวมทั้งที่มาของคำว่า "ครู" กันก่อนดีกว่า...


"ครู" มีความหมายว่า ผู้สั่งสอนศิษย์ หรือ ผู้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่ศิษย์ ซึ่งมีผู้กล่าวว่ามาจากคำว่า ครุ (คะ-รุ) ที่แปลว่า "หนัก" อันหมายถึง ความรับผิดชอบในการอบรมสั่งสอนของครูนั้น นับเป็นภาระหน้าที่ที่หนักหนาสาหัสไม่น้อย


กว่าคน ๆ หนึ่งจะเติบโตเป็นผู้มีวิชาความรู้และเป็นคนดีของสังคมได้นั้น ผู้เป็น "ครู" จะต้องทุ่มเทแรงกายและแรงใจไม่น้อยไปกว่าพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเลย ซึ่งในชีวิตของคน ๆ หนึ่ง นอกเหนือไปจากพ่อแม่ซึ่งเปรียบเสมือน "ครูคนแรก" ของเราแล้ว การที่เด็ก ๆ จะดำรงชีพต่อไปได้ในสังคม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมี "ครู" ที่จะประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ เพื่อปูพื้นฐานไปสู่หนทางทำมาหากินในภายภาคหน้าด้วย ดังนั้น "ครู" จึงเป็นบุคคลสำคัญที่เราทุกคนควรจะได้แสดงความกตัญญูกตเวทิตาต่อท่าน


ด้วยเหตุนี้เอง "การบูชาครู" หรือ "การไหว้ครู" จึงเป็นประเพณีสำคัญที่มีมาแต่โบราณ และมีอยู่ในแทบทุกสาขาอาชีพของคนไทย ถือเป็นพิธีกรรมที่แสดงความเคารพ และระลึกถึงพระคุณของบูรพาจารย์ ครูอาจารย์ผู้ประสิทธิ์วิชาความรู้ให้ ทำให้เราสามารถนำไปประกอบวิชาชีพ สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ตนเองและครอบครัวได้ในอนาคต

ในความหมายของ "การไหว้ครู" ก็คือ การที่ศิษย์แสดงความเคารพ ยอมรับนับถือครูบาอาจารย์อย่างจริงใจ ว่าท่านเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมความรู้ ศิษย์ในฐานะผู้สืบทอดมรดกทางวิชาการ จึงพร้อมใจกันปวารณาตัวรับการถ่ายทอดวิชาความรู้ด้วยความวิริยะอุตสาหะ เพื่อให้บรรลุปลายทางแห่งการศึกษาตามที่ตั้งใจเอาไว้ ซึ่งการไหว้ครูนี้ นอกจากจะเป็นธรรมเนียมอันดีงามที่มีส่วนโน้มน้าวจิตใจคนให้รักษาคุณความดี และช่วยธำรงรักษาวิทยาการให้สืบเนื่องต่อไปแล้ว การที่ศิษย์แสดงความเคารพยอมรับนับถือครูตั้งแต่เบื้องต้น ก็มีส่วนทำให้ครูเกิดความรัก ความเมตตาต่อศิษย์ อยากมอบวิชาความรู้ให้อย่างเต็มที่ และศิษย์เองก็จะมีความรู้สึกผูกพันใกล้ชิด เกิดมั่นใจว่า ตนจะมีผู้คุ้มครองดูแล สั่งสอนให้ไปสู่หนทางแห่งความดีงาม และความเจริญก้าวหน้าแน่นอน


พิธีไหว้ครู หรือ การไหว้ครู นี้มีหลายอย่าง เช่น การไหว้ครูนาฏศิลป์ ไหว้ครูดนตรี ไหว้ครูโหราศาสตร์ ไหว้ครูแพทย์แผนไทย เป็นต้น ซึ่งแต่ละอย่างก็จะมีรายละเอียดแตกต่างกันออกไป แต่โดยทั่วไปเมื่อเอ่ยถึง พิธีไหว้ครู เรามักจะหมายถึง การไหว้ครูในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะทำในช่วงเปิดภาคการศึกษา


กำหนดวันและเดือนที่นิยมประกอบพิธีไหว้ครู


การจัดพิธีไหว้ครูมีข้อกำหนดว่าให้กระทำพิธีเฉพาะวันพฤหัสบดี อาจจะได้รับอิทธิพลมาจากพวกพราหมณ์ ซึ่งนับถือเทพเจ้านามพระพฤหัสบดีเป็นเทพฤทธิ์ ในฐานะปุโรหิตาจารย์ที่เคารพนับถือของพระอินทร์และเทวดาอื่น ๆ จึงนิยมไหว้ครูกันในวันพฤหัสบดี


มีตำนานที่ถือว่าวันพฤหัสบดีเป็นวันครู นอกจากนี้ยังถือกันว่าเวลากลางวันพระพฤหัสบดีเป็นธาตุไฟ และเป็นธาตุน้ำในเวลากลางคืน เป็นดาวพระเคราะห์ที่ให้วิทยาความรู้แก่มนุษย์ เราจึงถือว่าวันพฤหัสบดีเป็นวันครู


ความมุ่งหมายพิธีไหว้ครู
  • เพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศล ด้วยการถวายเครื่องสักการะ พลีกรรมแก่ปรมาจารย์ทั้งหลายทั้งปวง ที่มาประสิทธิ์ประสาทความรู้ให้แก่ศิษย์
  • เพื่อให้ผู้เรียนได้เกิดความมั่นใจในการเรียนนาฎศิลป์เป็นอย่างดี เมื่อได้ผ่านพิธีกรรมมาแล้ว
  • เพื่อเป็นการขอขมาลาโทษ หากศิษย์ได้กระทำสิ่งที่ผิดพลาดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่ว่าจะเป็นด้านกายกรรม วจีกรรม หรือมโนกรรมก็ตาม
  • เพื่อไว้สำหรับต่อท่ารำที่เป็นเพลงหน้าพาทย์ชั้นสูงที่มีความเชื่อมาแต่โบราณว่า เพลงหน้าพาทย์บางเพลงจะต้องต่อท่ารำในพิธีไหว้ครู จึงจะเกิดเป็นสิริมงคลทั้งแก่ผู้สอนและผู้เรียน
  • เพื่อเป็นสิ่งเตือนสติให้ศิษย์ระลึกถึงครู อันเป็นเครื่องเตือนใจที่จะประพฤติแต่ในสิ่งที่ดีงาม อยู่ในศีลธรรมจรรยา ตั้งตนอยู่ในโอวาทคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์


ประโยชน์ที่ได้รับจากพิธีไหว้ครู
  • สามารถทำให้เกิดความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในฐานะที่เป็นศิษย์มีครูเหมือนกัน
  • สามารถนำวิชาความรู้ที่เรียนมา ไปถ่ายทอดได้ด้วยความมั่นใจ โดยไม่ต้องกลัวว่า "ผิดครู"
  • เป็นการสร้างศิษย์ให้มีความเชื่อมั่นในวิชาความรู้ที่ได้เรียนมา กล้าแสดงออกไม่เก็บตัว
  • ทำให้มีความรู้กว้างขวางและเข้าใจในพิธีกรรมเช่นนี้อย่างชัดเจน
  • เกิดความสบายใจหากได้ทำสิ่งใดผิดพลาดไป ก็จะได้เป็นการขอขมาครูไปด้วย
ความหมายของดอกไม้ต่างๆ ที่นิยมใช้ในการไหว้ครู
  • ดอกมะเขือ เป็นดอกที่โน้มต่ำลงมาเสมอ ไม่ได้เป็นดอกที่ชูขึ้น คนโบราณจึงกำหนดให้เป็นดอกไม้สำหรับไหว้ครู ไม่ว่าจะเป็นครูดนตรี ครูมวย ครูสอนหนังสือ ก็ให้ใช้ดอกมะเขือนี้ เพื่อศิษย์จะได้อ่อนน้อมถ่อมตนพร้อมที่จะเรียนวิชาความรู้ต่าง ๆ นอกจากนี้มะเขือยังมีเมล็ดมาก ไปงอกงามได้ง่ายในทุกที่ เช่นเดียวกับ หญ้าแพรก
  • หญ้าแพรก เป็นหญ้าที่เจริญงอกงาม แพร่กระจายพันธ์ ไปได้อย่างรวดเร็วมาก หญ้าแพรกดอกมะเขือจึงมีความหมายซ่อนเร้นอยู่ คนโบราณจึงถือเอาเป็นเคล็ดว่า ถ้าใช้หญ้าแพรกดอกมะเขือไหว้ครูแล้ว สติปัญญาของเด็กจะเจริญงอกงามเหมือนหญ้าแพรกและ ดอกมะเขือนั่นเอง
  • ข้าวตอก เนื่องจากข้าวตอกเกิดจากข้าวเปลือกที่คั่วด้วยไฟอ่อน ๆ ให้ร้อนเสมอกันจนถึงจุดหนึ่งที่เนื้อข้างในขยายออก จนดันเปลือกให้แยกออกจากกัน ได้ข้าวสีขาวที่ขยายเม็ดออกบาน ซึ่งสามารถนำไปประกอบพิธีกรรม หรือทำขนมต่าง ๆ ได้ ดังนั้น ข้าวตอกจึงเป็นสัญลักษณ์ของความมีระเบียบวินัย หากใครสามารถทำตามกฎระเบียบ เอาชนะความซุกซนและความเกียจคร้านของตัวเองได้ ก็จะเหมือนข้าวตอกสีขาวที่ถูกคั่วออกจากข้าวเปลือก
  • ดอกเข็ม เพราะดอกเข็มนั้นมีปลายแหลม สติปัญญาจะได้แหลมคมเหมือนดอกเข็ม และก็อาจเป็นได้ว่า เกสรดอกเข็มมีรสหวาน การใช้ดอกเข็มไหว้ครู วิชาความรู้จะให้ประโยชน์กับชีวิต ทำให้ชีวิตมีความสดชื่นเหมือนรสหวานของดอกเข็ม


วันครู...ไหว้ครูในปัจจุบัน

สำหรับการไหว้ครูในปัจจุบันตามโรงเรียนต่าง ๆ มักจะเลือกวันในช่วงสัปดาห์แรก ๆ เพื่อจัดพิธีไหว้ครู ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตามสะดวกของสถาบันการศึกษาแต่ละแห่ง ซึ่งความต่างของวันไหว้ครูในยุคนี้ เราจะสังเกตเห็นว่า เครื่องสักการะที่นักเรียนนำมาไหว้ครูนั้นนับวันจะหมดความหมายลงไปทุกที

นักเรียนส่วนใหญ่มักซื้อดอกไม้ที่สวยงามจากตลาดแทนการใช้เครื่องสักการะที่มีความหมายซึ่งใช้กันมาแต่โบราณ และมักไม่ใช้ความสามารถของตนในการจัดพานเครื่องสักการะครูส่วนใหญ่จะจ้างผู้มีฝีมือในทางด้านนี้ทำให้แบบสำเร็จรูป

ถ้าหากเราจะรณรงค์ให้มีการตระหนักถึงคุณค่าของการไหว้ครูอย่างแท้จริง โดยร่วมแรงร่วมใจกันจัดพาน ใช้ดอกมะเขือ หญ้าแพรกเป็นสื่อความหมายก็น่าจะเป็นเรื่องดีไม่น้อย เพราะการปลูกมะเขือและหญ้าแพรกนั้นง่ายกว่าและประหยัดกว่าการซื้อดอกไม้อื่น ๆ มากมายนัก

ว่าแต่วันครูปีนี้ ชวนเพื่อน ๆ มาจัดพานไปไหว้คุณครู เช่นครั้งวันวานกันมั่งดีกว่าไหม เพราะการทำพานไหว้ครูเอง นอกจากจะให้คุณค่าทางจิตใจแล้ว ยังเป็นการสร้างความสามัคคี ร่วมมือร่วมใจกับเพื่อน ๆ นักเรียนอีกด้วย...

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

่kapook.com, noknoi.com, dhammajak.net และ culture.go.th